เมื่อ : 18 ต.ค. 2568

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 เวลา 17.00 น. ณ ลานริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร โดยมี นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คุณปอโลมี ตริปาฐี อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เเละรองผู้เเทนถาวรเเห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียเเละเเปซิฟิก การท่องเที่ยวเเห่งประเทศไทย นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา พร้อมด้วยนางสาวฐิติมา สุภภัค ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ นายกสมาคมอินเดียเเห่งประเทศไทย ผู้เเทนองค์การทางศาสนา 5 ศาสนา และเจ้าหน้าที่กรมการศาสนา เข้าร่วมพิธีเปิดงาน “Amazing Thailand Grand Diwali Festival 2025” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17–19 ตุลาคม 2568 โดยความร่วมมือระหว่าง กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม สมาคมอินเดียแห่งประเทศไทย องค์การทางศาสนาพราหมณ์–ฮินดู และศาสนาซิกข์ ตลอดจนภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน 

นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ร่วมกับสมาคมอินเดีย แห่งประเทศไทย และองค์การทางศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู และศาสนาซิกข์ จัดงาน “Amazing Thailand Grand Diwali Festival 2025” ระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคม 2568 ณ ลานริเวอร์พาร์ค ไอคอนสยาม เขตคลองสาน กรุงเทพฯ โดยกรมการศาสนา ได้ดำเนินงานตามนโยบาย “Unseen ไท ไทย” ของนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จึงได้ร่วมกับองค์การศาสนา 5 ศาสนา จัดโครงการ “เสน่ห์แห่งสีสัน เทศกาลแห่งศรัทธา” ผ่าน “เทศกาลดิวาลี” ของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู เพื่อสนับสนุนให้ศาสนิกชนรู้จักวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายอินเดียแสดงออกถึงความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ผ่านเทศกาลประเพณีที่สำคัญทางศาสนา เพื่อสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและเทศกาลในมิติศาสนา เสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มั่นคง และสร้างความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างศาสนิกชน ภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมของคนหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายศาสนาในประเทศไทย 

นายนิกร ซัจเดว ประธานคณะผู้จัดงานเทศกาลดิวาลี กล่าวว่า “เทศกาลดิวาลี” คือ ประเพณีปีใหม่ของชาวอินเดียที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งตรงกับวันอมาวัสยาหรือ วันเดือนดับในเดือน 8 ตามระบบปฏิทินฮินดู จัดขึ้นเพื่อทำการบูชาขอพรพระแม่ลักษมี เทวีแห่งโชคลาภ ทรัพย์สิน เงินทอง และพระพิฆเนศ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ในวันนี้ศาสนิกชนฮินดูจะทำการบูชาองค์เทพ ด้วยแสงไฟจากตะเกียงประทีป โดยจุดให้สว่างตลอดวันตลอดคืน เพื่อขอให้ประทานพรแก่ผู้สักการะบูชา นอกจากนี้ยังเป็นการเฉลิมฉลองตามตำนานคัมภีร์รามายณะ ซึ่งมีตำนานว่าเมื่อพระรามสู้รบกับเหล่าอสูร จนมีชัยแล้วก็ได้เดินทางกลับมาสู่อาณาจักรอโยธยาในคืนเดือนมืด จึงมีการเฉลิมฉลองชัยชนะด้วยไฟ ทั่วทั้งอาณาจักรอโยธยา เพื่อนำทางทัพพระรามกลับสู่อาณาจักร ด้วยเหตุนี้ เทศกาลดิวาลี จึงเป็นเทศกาลแห่งแสงสว่าง แสงไฟ และความรื่นเริงมีการจุดประทีปเป็นสัญลักษณ์การเฉลิมฉลองชัยชนะของคุณงามความดีที่มีต่อความชั่วร้าย และแสงสว่างที่อยู่เหนือความมืดมน ผู้คนนิยมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่ ๆ มีการจุดตะเกียงเพื่อให้เกิดความสว่างไสวไปทั้งบ้าน รวมถึงการชำระปัดกวาดสถานที่ให้สะอาด เพื่อเตรียมรับสิ่งดี ๆ ให้เข้ามาในบ้านเรือนหลังนั้น ๆ ในขณะที่ผู้นับถือศาสนาซิกข์ก็จะเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลีด้วยเหตุผลความเชื่อที่ต่างไป โดยจะเรียกว่าวัน “บัณดิ โช ดิวัส” หรือวันปลดปล่อยเพื่ออิสรภาพและสิทธิอันเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นวันที่คุรุ ฮัร โควินท์ สาหิบ ศาสดาพระองค์ที่ 6 ของศาสนาซิกข์ได้รับการปลดปล่อยจากการจองจำของจักรวรรดิโมกุล ด้วยเหตุนี้ เทศกาลดิวาลี จึงจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้ศาสนิกชนรู้จักวัฒนธรรมของชาวไทยเชื้อสายอินเดีย เพื่อแสดงออกถึงความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ผ่านเทศกาลประเพณีที่สำคัญทางศาสนา โดยในงานมีกิจกรรม การบูชาองค์เทพของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ทั้ง 4 องค์ ได้แก่พระพิฆเนศ เทพแห่งการเริ่มต้นและผู้ขจัดปัดเป่าอุปสรรค พระแม่ลักษมี เทพีแห่งโชคลาภ ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่งร่ำรวย พระกฤษณะและพระนางราธา เทพแห่งความรักความสัมพันธ์ที่มั่นคง และพระราม เทพแห่งความยุติธรรมและความถูกต้อง การจุดประทีปตามหลักศาสนาเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลี รวมถึงการจัดแสดงนิทรรศการเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ในมิติศาสนาของทั้งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ 

นายนิกร ซัจเดว ประธานคณะผู้จัดงานเทศกาลดิวาลี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ได้เป็นเจ้าภาพร่วมกับสมาคมอินเดียแห่งประเทศไทย องค์การทางศาสนา และภาครัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีกำหนดจัดงาน “Amazing Thailand Grand Diwali Festival 2025” นำเสนอเทศกาลดิวาลีในมิติทางศาสนาและวัฒนธรรมอินเดีย โดยได้รับความร่วมมือจากสมาคมฮินดูสมาช สมาคมฮินดูธรรมสภา สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา และสมาคมนามธารีสังคัตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์การทางศาสนาที่กรมการศาสนาให้การอุปถัมภ์ และเป็นเครือข่ายในการดำเนินงานด้านศาสนา ร่วมกับ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม มาด้วยดีตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ให้มีกิจกรรมในมิติศาสนาตามความเชื่อ เเละสนับสนุนส่งเสริมองค์การทางศาสนาให้ร่วมดำเนินงานส่งเสริมเผยแพร่ความรู้ด้านศาสนาผ่านเทศกาลดิวาลี กิจกรรม Turban Day ร่วมรับชมการสาธิตการโพกผ้าพันศีรษะ ตามอัตลักษณ์ของชาวซิกข์ รวมถึงรับผ้าโพกศีรษะได้ฟรีเมื่อเข้าร่วมงาน และร่วมถ่ายรูปบนลานรังโกลีแบบสามมิติ ศิลปะอินเดียจากทรายสีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเป็นศิลปะการวาดภาพตกแต่งพื้นบ้านของอินเดีย โดยใช้ผงสีหรือทรายสีวาดเป็นลวดลายต่างๆ โดยมีความหมายหลักคือการต้อนรับแขกด้วยความอบอุ่นและเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการแสดงเชิงพหุวัฒนธรรม การจัดจำหน่ายอาหารคาวหวาน และสินค้าแนวอินเดีย จากผู้ประกอบการอินเดีย-ไทย นับเป็นการรวมตัวของชาวไทยเชื้อสายอินเดียที่ใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในรอบปีและสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในมิติเทศกาลประเพณีทางศาสนา

อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการเสน่ห์แห่งสีสัน เทศกาลแห่งศรัทธา ภายใต้การจัดกิจกรรมเทศกาลของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดูร่วมด้วยศาสนาซิกข์ เป็นการส่งเสริมให้ศาสนิกชนได้ปฏิบัติศาสนกิจตามศาสนา อันเป็นการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันศาสนาให้เป็นเสาหลักที่จะสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณธรรม ศาสนิกชนทุกศาสนาอยู่ร่วมกันด้วยความรักสามัคคีสืบต่อไป ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเทศกาลในมิติทางศาสนา เป็นการยกระดับเทศกาลประเพณีให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง สนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นด้านเศรษฐกิจวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่หลากหลาย และก่อให้เกิดความศรัทธาและความเชื่อ โดยการบูชาสิ่งที่เป็นวัตถุมงคล และของที่ระลึก ที่จะช่วยส่งเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการในการขายสินค้าและบริการต่าง ๆ ก่อให้เกิด สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในมิติศาสนา ส่งผลให้ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน 

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ