อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสองค์การอนามัยโลกเตือน การปฏิเสธแนวทางการลดอันตรายจากยาสูบ จะคร่าชีวิตผู้คนกว่า 100 ล้านคน
สำนักข่าว AP รายงานบทความจาก 2 อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO ที่เรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ยอมรับแนวทางการลดอันตรายจากยาสูบเพื่อช่วยชีวิตคนกว่า 100 ล้านคนก่อนการประชุม COP11 ของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ที่เพิ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อเร็วๆนี้
อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสขององค์การอนามัยโลก 2 คน ได้แก่ Derek Yach หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการร่างกรอบอนุสัญญาควบคุมยาสูบ และ Tikki Pang อดีตผู้บริหารฝ่ายวิจัยนโยบายขององค์การอนามัยโลก เรียกร้องให้มีการปฏิรูปอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบ (FCTC) ครั้งใหญ่ โดยพวกเขาให้เหตุผลว่าการปฏิรูปนี้อาจช่วยชีวิตผู้คนได้มากกว่า 100 ล้านคนภายในปี 2060
ทั้งสองระบุว่าประเทศที่ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบจะประชุมกันที่เจนีวา ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน เพื่อหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าของนโยบายควบคุมยาสูบทั่วโลก ซึ่งประเทศต่าง ๆ จะต้องเผชิญกับข้อเรียกร้องให้เพิ่มข้อจำกัดสำหรับผลิตภัณฑ์นิโคตินที่เสี่ยงน้อยกว่า โดย Yach และ Pang ยืนกรานว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้ต้องถูกปฏิเสธ
บทความของเจ้าหน้าที่อาวุโสทั้งสองให้ข้อเสนอแนะว่า “รัฐบาลต้องกล้าท้าทายหลักคำสอนเก่า ๆ ภาคอุตสาหกรรมต้องกล้าจัดสรรทรัพยากรให้สอดคล้องกับระบบสาธารณสุข และภาคประชาสังคมต้องกล้าสนับสนุนหลักวิทยาศาสตร์มากกว่าอุดมคติ”
Yach และ Pang ส่งเสียงเรียกร้องไปที่วารสารทางวิทยาศาสตร์และสมาคมการแพทย์ที่สร้างหลักการที่บิดเบือนแก่วงการแพทย์ โดยพวกเขาระบุว่า “หน่วยงานต่าง ๆ ต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบทางจริยธรรมของตน เพื่อให้มั่นใจว่าประโยชน์ของการลดอันตรายเป็นที่เข้าใจอย่างกว้างขวางในหมู่บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งแพทย์ที่ได้รับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนและไม่ถูกต้องยังคงเป็นกำแพงสำคัญที่ขัดขวางการยอมรับในเรื่องการลดอันตราย นอกจากนี้ หน่วยงานเหล่านี้ยังไม่ยอมรับว่าการลดอันตรายส่งผลต่อประเทศยากจนอย่างไร”
เนื้อหาส่วนหนึ่งในบทความระบุว่า “ประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางจะต้องเผชิญกับความตึงเครียดด้านสุขภาพและเศรษฐกิจมหาศาลเป็นเวลาหลายทศวรรษ หากไม่ดำเนินมาตรการเร่งด่วน ผู้เขียนเชื่อว่าที่ประชุม COP11 จะต้องยอมรับความจริงที่ว่า การลดอันตรายจากยาสูบไม่ใช่การถกเถียงในเชิงทฤษฎี แต่เป็นกลยุทธ์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลลัพธ์ที่สามารถช่วยชีวิตคนได้”
ผู้เขียนยังเปรียบเทียบความก้าวหน้าในประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาที่นโยบายการควบคุมยาสูบของ WHO มักไม่ได้รับการตั้งคำถาม
“การใช้ผลิตภัณฑ์แบบไม่เผาไหม้เพิ่มสูงขึ้นในประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิตาลี โปแลนด์ และเยอรมนี และการใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร รัสเซีย และโรมาเนีย ซึ่งอัตราการสูบบุหรี่ในประเทศเหล่านี้ลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้คนหลายล้านคนหันไปใช้ทางเลือกที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า”
ในขณะเดียวกัน ประเทศสวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก และไอซ์แลนด์ มีการใช้ผลิตภัณฑ์นิโคตินที่ไม่ใช่บุหรี่แบบดั้งเดิมอย่างแพร่หลายส่งผลให้ให้อัตราการสูบบุหรี่และอัตราการเกิดโรคมะเร็งอยู่ในระดับต่ำสุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมาทั่วโลก ประเทศเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมของมนุษย์สามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น เมื่อผู้บริโภคได้รับทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้
ในทางตรงกันข้าม ในประเทศ เช่น อินโดนีเซีย จีน อียิปต์ และจอร์แดน อัตราการสูบบุหรี่ของผู้ชายยังคงสูงเกิน 45% ซึ่งเป็นระดับที่พบเห็นครั้งสุดท้ายที่อังกฤษในช่วงทศวรรษ 1960
ผู้เขียนสรุปว่า “สำหรับผู้แทนจำนวนมาก ที่ไปร่วมการประชุมกรอบอนุสัญญาของ WHO การเรียกร้องให้พิจารณาการลดอันตรายใหม่มักเป็นเรื่องลำบากใจสำหรับพวกเขา”
ในการประชุม COP11 ปีนี้ ผู้แทนจากประเทศนิวซีแลนด์ หนึ่งในประเทศที่ยึดหลักการลดอันตรายจากการสูบบุหรี่ ผสมผสานกับหลักการ MPOWER ขององค์การอนามัยโลก ได้กล่าวสุนทรพจน์แสดงความก้าวหน้าในการดำเนินการตามอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบและการลดอัตราการสูบบุหรี่
แทนจากประเทศนิวซีแลนด์กล่าวว่า “ตั้งแต่ปี 2012 อัตราการสูบบุหรี่ต่อวันของผู้ใหญ่ในนิวซีแลนด์ลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง และปัจจุบันอยู่ที่ 6.9% ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการสูบบุหรี่ของผู้ใหญ่ต่ำที่สุดในโลก เราใกล้บรรลุเป้าหมายที่น้อยกว่า 5% แนวคิดเรื่องการรวมพลังเพื่อคนรุ่นใหม่ที่ปลอดบุหรี่นั้นได้รับการตอบรับอย่างแข็งขัน เรามุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงเป้าหมายนี้และประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยจำนวนผู้ที่สูบบุหรี่ทุกวันในกลุ่มคนอายุ 14-24 ปี มีเพียง 3% และในกลุ่มอายุ 15-17 ปี มีเพียง 0.6% เท่านั้น”
“คนรุ่นใหม่กำลังเติบโตมากับสังคมปลอดบุหรี่ ความก้าวหน้าของเราสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินมาตรการ MPOWER ของ WHO FCTC อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมปลอดบุหรี่ การขึ้นภาษี บรรจุภัณฑ์เรียบง่าย และคำเตือนด้านสุขภาพ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากแคมเปญการตลาดเพื่อสังคม การสนับสนุนให้เลิกบุหรี่ และการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด การให้การสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมและตรงเป้าหมายแก่ประชาชนเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญอย่างยิ่ง มาตรการเหล่านี้ส่งผลให้อัตราการสูบบุหรี่ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปตั้งแต่ปี 2005 จนถึงปี 2018”
“ตั้งแต่ปี 2019 อัตราการสูบบุหรี่ลดลงอย่างรวดเร็วมากขึ้น เนื่องมาจากการดำเนินมาตรการลดอันตรายจากยาสูบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมการเข้าถึงผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า สำหรับประชากรชาวเมารีพื้นเมืองของเรา การสูบบุหรี่ทุกวันลดลงมากกว่า 60% จาก 37.7% ในปี 2012 เหลือ 14.7% ในปี 2024 ซึ่งถือเป็นการลดลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “
“เราปฏิบัติตามคำแนะนำของ FCTC MPOWER โดยบังคับใช้กฎระเบียบที่สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้พร้อมสนับสนุนให้ผู้คนเลิกสูบบุหรี่ ในขณะเดียวกันก็ลดโอกาสการเข้าถึงของเยาวชน นิวซีแลนด์ยังคงเข้มงวดการควบคุมกฎระเบียบเพื่อปกป้องเยาวชน ตั้งแต่กฎระเบียบด้านการค้าปลีก การควบคุมสินค้า และการตลาด และมาตรการเหล่านี้กำลังได้ผล โดยข้อมูลปี 2025 แสดงให้เห็นว่าอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้ายังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง”
“นิวซีแลนด์ยังคงมุ่งมั่นที่จะลดอันตรายอันใหญ่หลวงที่เกิดจากการควบคุมยาสูบ โดยทำให้การควบคุมยาสูบทั้งสามด้าน ซึ่งประกอบไปด้วย กลยุทธ์ด้านอุปทาน อุปสงค์ และการลดอันตราย เป็นกลางตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 1D ของอนุสัญญา เราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันประสบการณ์และเรียนรู้จากผู้อื่น ขณะที่เราร่วมมือกันเพื่อโลกที่การสูบบุหรี่จะไม่คร่าชีวิตผู้คนนับล้านอีกต่อไป”
ที่มา: Two Former WHO Leaders Warn: Rejecting Harm Reduction Will Cost 100 Million Lives | AP News
(1) Michael Landl on X: ”New Zealand reaffirmed its commitment to harm reduction. Since 2012 smoking rates halved. Practical support and risk-based regulation of vaping products are driving the decline bringing the country close to smoke-free status. #COP11 #VoicesUnheard #FCTCCOP11 https://t.co/TFrjernyjT” / X
